05 สิงหาคม 2552

บทความสัมภาษณ์อ.หยาง เผย เซิน









นิตยสาร Go Training ฉบับเดือนสิงหาคม 2552 ได้ลงบทความสัมภาษณ์อาจารย์หยาง เผย เซิน ซึ่งเป็นอาจารย์สอนชี่กงคนแรกของผม (และคนเดียวในขณะนี้) เว็บไซต์ของอาจารย์หยางสามารถดูได้ที่ www.qigongthai.com ครับ

04 สิงหาคม 2552

ทำไมสอบวิทยานิพนธ์ไม่ผ่าน (ตอนจบ)




ผมเขียนบทความนี้เพื่อตีพิมพ์ในนิตยสาร Go Training ฉบับเดือนกรกฏาคม 2552 ครับ ซึ่งเป็นตอนต่อจากบทความที่ผมเขียนในฉบับเดือนมิถุนายน 2552


ฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวสาเหตุที่สอบวิทยานิพนธ์ไม่ผ่านสามข้อ ได้แก่ การเริ่มทำวิทยานิพนธ์ใกล้กำหนดส่ง การขาดแรงจูงใจ และการนำเสนอไม่ชัดเจน ฉบับนี้เราจะวิเคราะห์สาเหตุที่เหลือดังนี้ครับ

4. ทำงานไม่ครบตามขอบเขต

หลังจากที่นักศึกษาเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์แล้ว นักศึกษาจะต้องทำงานให้ครบตามขอบเขตวิทยานิพนธ์ตามที่ตัวเองเสนอไว้ และส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการตัดสินว่านักศึกษาได้ทำวิทยานิพนธ์ครบถ้วนหรือไม่ ถ้านักศึกษาได้กำหนดขอบเขตวิทยานิพนธ์ว่าจะทำห้าข้อ แต่เมื่อสอบจบ นักศึกษากลับทำได้เพียงสามข้อ กรรมการก็จะให้นักศึกษาสอบตกแน่นอน เพราะไม่สามารถทำได้ครบตามขอบเขต ดังนั้นนักศึกษาต้องแน่ใจว่า ทำวิทยานิพนธ์ได้ครบตามขอบเขตของหัวข้อที่เสนอไว้ ส่วนใหญ่ที่นักศึกษาทำงานไม่ครบตามขอบเขต เพราะทำไม่ทันนั่นเอง

แต่ถ้าระหว่างทำวิทยานิพนธ์ นักศึกษาพบว่าไม่สามารถทำขอบเขตบางข้อได้ตามที่เสนอไว้ เพราะสุดวิสัย ในกรณีนี้ นักศึกษาควรปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำครับ

5. รูปเล่มวิทยานิพนธ์ไม่สมบูรณ์

นอกจากการสอบปากเปล่าแล้ว รูปเล่มวิทยานิพนธ์ก็เป็นส่วนสำคัญในการสอบวิทยานิพนธ์ สิ่งหนึ่งที่ทำให้กรรมการสอบวิทยานิพนธ์หงุดหงิดหรือรำคาญใจอย่างมากคือ วิทยานิพนธ์ที่มีคำสะกดผิดจำนวนมากเหมือนรายงานเด็กประถมมากกว่าวิทยานิพนธ์ ผมมักบอกนักศึกษาเสมอว่า ควรตรวจสอบคำสะกดทั้งหลายให้ถูกต้องก่อนที่จะส่งรูปเล่มแก่อาจารย์ที่ปรึกษาหรือกรรมการ แต่ก็ยังพบคำสะกดผิดอยู่เป็นประจำ

ส่วนสาเหตุที่ยังมีคำสะกดผิดนั้น อาจเป็นเพราะนักศึกษาหลายคนมักอ่านวิทยานิพนธ์จากจอคอมพิวเตอร์เพื่อหาคำผิด ดังนั้นจึงมองข้ามคำผิดโดยไม่รู้ตัว และเครื่องมือการตรวจสอบคำสะกดภาษาไทยในคอมพิวเตอร์นั้นก็ยังไม่ครบถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ผมแนะนำว่านักศึกษาควรพิมพ์รูปเล่มก่อน จากนั้นตรวจทานคำสะกดจากฉบับพิมพ์เพื่อตรวจทาน ก็จะทำให้มองเห็นคำผิดได้ง่ายขึ้น หรืออาจขอให้ผู้อื่น เช่น เพื่อนช่วยอ่านตรวจทานเพื่อตรวจสอบการสะกดให้ ก็จะทำให้ลดคำสะกิดผิดได้มากครับ (เห็นคำสะกดผิดเมื่อสักครู่ไหมครับ)

การใช้คำสะกดผิดอีกกรณีหนึ่งคือการใช้คำวิชาการที่สะกดไม่ถูกต้องตามศัพท์ที่บัญญัติไว้ ตัวอย่างเช่น คำว่า “ซอฟต์แวร์” หลายคนมักเขียนว่า “ซอฟท์แวร์” หรือ “ซอฟแวร์” ซึ่งเป็นคำสะกดที่ไม่ถูก ดังนั้นนักศึกษาควรตรวจสอบความถูกต้องของศัพท์วิชาการจากพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถาน หรือสามารถเข้าไปดูได้จากเว็บไซต์ของราชบัณฑิตยสถานคือ http://www.royin.go.th/ บางคำอาจยังไม่มีการบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทย ดังนั้นนักศึกษาอาจใช้คำซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในวงการหรือทับศัพท์โดยวงเล็บภาษาอังกฤษด้วย เพื่อจะได้ทราบคำเดิมของศัพท์นั้น

นอกจากคำสะกดแล้ว การจัดเรียงบทของวิทยานิพนธ์ การใส่ภาพ ตาราง เอกสารอ้างอิง ก็มีความสำคัญเช่นกัน นักศึกษาควรตรวจสอบรูปแบบวิทยานิพนธ์จากมหาวิทยาลัยของตนเอง และดูตัวอย่างวิทยานิพนธ์ของรุ่นพี่ แต่ไม่ควรยึดถือวิทยานิพนธ์ของรุ่นพี่เป็นตัวอย่างที่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะบางทีวิทยานิพนธ์ของรุ่นพี่ก็ “มั่ว” เหมือนกันครับ

โดยสรุปแล้ว สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย ถ้านักศึกษามีเวลาเพียงพอในการทำวิทยานิพนธ์ เพราะนักศึกษาสามารถตรวจทานและแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ หรือไม่มีข้อผิดพลาดเลย นักศึกษาก็จะมีความภาคภูมิใจในวิทยานิพนธ์ฉบับนั้น และจบการศึกษาอย่างสง่างามสมกับเป็นมหาบัณฑิตครับ

แนะนำหนังสือสร้างกำลังใจ

ฉบับที่แล้ว ผมแนะนำว่าลองหาหนังสือแนวสร้างกำลังใจมาอ่าน จึงมีท่านผู้อ่านเสนอความเห็นว่าควรแนะนำชื่อหนังสือที่น่าสนใจ ผมจึงขอแนะนำหนังสือสร้างกำลังใจต่อไปนี้ครับ หนังสือเหล่านี้เป็นหนังสือที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษ บางเล่มก็อ่านหลายครั้งและได้มุมมองใหม่ ๆ ทุกครั้งเวลาอ่านครับ

1. “สร้างกำลังใจ” เขียนโดย อาจารย์เปลื้อง ณ นคร ผมซื้อหนังสือเล่มนี้เมื่อปีพ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่สิบสี่ และปัจจุบันก็ยังคงพิมพ์อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นคงไม่ต้องสงสัยว่าหนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมมากเพียงใดครับ หนังสือเล่มนี้รวบรวมบทความต่าง ๆ เชิงจิตวิทยาประยุกต์ ซึ่งแต่ละบทจะให้ข้อคิดและวิธีการปลุกกำลังใจให้เกิดขึ้น เช่น “ฝึกคิดให้ดีกับตนเอง” “เปลี่ยนความผิดหวังเป็นพลังใจ” “วิธีฝึกใจให้มีสมาธิ” “ทางไปสู่ความสำเร็จ” “เอาชนะดวงตัวเอง” แค่เห็นชื่อบทก็อยากอ่านแล้วใช่ไหมครับ

2. “เมื่อยักษ์ตื่น!” เขียนโดย โค้ชสิริลักษณ์ ตันสิริ หนังสือเล่มนี้เล่าประสบการณ์ของคุณสิริลักษณ์ ซึ่งเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจหญิงคนแรกของไทย และกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาตนเอง วิธีการปลุกใจให้ต่อสู้กับอุปสรรค การเอาชนะตนเอง การปลุกยักษ์ในตัวเอง เป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ มีเนื้อหาเข้มข้น ลีลาการเขียนสนุกสนาน และมีแบบฝึกหัดมากมายที่ให้ฝึกฝนครับ

3. “วิธีชนะทุกข์และสร้างสุข” แปลจาก “How to stop worrying and start living” เขียนโดย เดล คาร์เนกี (Dale Carnegie) แปลโดย อาษา ขอจิตต์เมตต์ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือด้านการพิชิตความวิตกกังวลที่มีชื่อเสียงดังระดับโลก อันที่จริงหนังสือทุกเล่มของเดล คาร์เนกี้น่าอ่านมากครับ โดยเล่มนี้จะเน้นที่การพิชิตความวิตกกังวลต่าง ๆ และการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ถ้าคุณมีปัญหาที่แก้ไม่ตกและกลุ้มอกกลุ้มใจแล้วละก็ ลองอ่านเล่มนี้ดูสิครับ แล้วคุณจะรู้สึกว่า ควรอ่านตั้งนานแล้ว

4. “The Success Principle” เขียนโดย แจ็ค แคนฟิลด์ (Jack Canfield) หนังสือเล่มนี้มีความหนาเกือบ 500 หน้าและบรรจุแนวทางสู่ความสำเร็จทั้งหมด 64 บท เป็นหนังสือที่ผู้ต้องการประสพความสำเร็จทุกคนควรอ่านครับ เท่าที่ผมทราบ เล่มนี้ยังไม่มีการแปลเป็นภาษาไทย ดังนั้นผู้สนใจคงต้องอ่านฉบับภาษาอังกฤษไปก่อน ซึ่งสามารถหาซื้อได้จากร้านจำหน่ายหนังสือภาษาต่างประเทศชั้นนำครับ คำโปรยที่หน้าปกเขียนว่า “ถ้าคุณสามารถอ่านหนังสือเล่มเดียวในปีนี้แล้วละก็ โปรดอ่านเล่มนี้” ลองพิสูจน์ดูนะครับว่าจริงหรือไม่
ผมได้สรุปเนื้อหาของบทความทั้งสองตอนเป็น Mind Map ซึ่งแสดงในภาพข้างบน Mind Map นี้สร้างโดยใช้โปรแกรม iMindMap 4.0 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ Mind Map ที่ Tony Buzan ปรมาจารย์ผู้คิดค้น Mind Map เป็นผู้รับรองโดยตรง และเป็นโปรแกรม Mind Map ที่วาดได้สวยที่สุด (คล้ายกับการใช้มือวาด)

20 กรกฎาคม 2552

ข่าวสัมภาษณ์ลงหนังสือพิมพ์ : สงครามไซเบอร์

ข่าวนี้นำมาจากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันที่ 13 กค. ครับ โดยนักข่าวของหนังสือพิมพ์คมชัดลึกได้โทรศัพท์มาสัมภาษณ์ผมเรื่องคอมพิวเตอร์ของประเทศเกาหลีใต้โดนโจมตี ซึ่งขณะนั้นผมยังไม่ทราบเรื่อง คุณนักข่าวจึงได้กรุณาส่งข่าวมาให้ผมอ่าน และขอความเห็นจากผมครับ

คมชัดลึก : วันเข้าพรรษาที่ผ่านมา ขณะที่คณะรัฐบาลไทยยิ้มแย้มแจ่มใส หยุดงานจูงมือลูกหลานไปทำบุญที่วัดใกล้บ้าน ห่างไปอีกฟากหนึ่งของคาบสมุทรแปซิฟิก...รัฐบาลเกาหลีใต้เรียกผู้นำฝ่ายความมั่นคงจัดประชุมเร่งด่วนยาวนานหลายชั่วโมง เพื่อหากลยุทธ์ตอบโต้การถูกโจมตีด้วย "สงครามไซเบอร์" (Cyber Warfare)

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 7-9 กรกฎาคม เครือข่ายคอมพิวเตอร์และเว็บไซต์หน่วยงานรัฐบาลเกาหลีใต้ถูกแฮ็กเกอร์ไม่ทราบสัญชาติ ส่งข้อมูลเข้าไปทำลายระบบเน็ตเวิร์ก จนเว็บไซต์ใช้งานไม่ได้นานกว่า 4 ชั่วโมง เว็บไซต์เกาหลีใต้ที่ถูกโจมตีไม่ใช่เว็บไซต์ทั่วไป แต่เป็นเว็บไซต์ของกระทรวงกลาโหม เว็บไซต์ทำเนียบประธานาธิบดี รวมถึงบริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า "ไอเอสพี" ด้วย

ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายไซเบอร์ของเกาหลีใต้ หรือ "ซีทีอาร์ซี" (The Cyber Terror Response Centre) ซึ่งตั้งอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า สงครามไซเบอร์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเกาหลีใต้เท่านั้น แต่เครือข่ายเว็บไซต์ของรัฐบาลสหรัฐก็โดนด้วยเช่นกัน เบื้องต้นได้รับรายงานว่าเว็บไซต์สำคัญของสหรัฐกับเกาหลีใต้ไม่ต่ำกว่า 25 แห่งโดนโจมตีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตัวแทนจากกองทัพและสำนักงานอัยการเกาหลีใต้ได้ตั้งคณะทำงานชุดเร่งด่วนขึ้นมาสอบสวนและควานหากลุ่มทำสงครามไซเบอร์ครั้งนี้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งเปิดเผยว่า เป็นการโจมตีโดยใช้วิธี "ดีดีโอเอส" (DDoS : Distributed Denial-of-Service)

"ธงชัย โรจน์กังสดาล" ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยในระบบคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า "ดีดีโอเอส" เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้ทำสงครามไซเบอร์ โดยใช้วิธีส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลให้ไหลเข้าไปในเว็บไซต์ หรือเครือข่ายเน็ตเวิร์กของเป้าหมายที่ต้องการโจมตี เพื่อให้ระบบทำงานหนักขึ้นและช้าลงเรื่อยๆ จนในที่สุดต้องหยุดการทำงานลง หากเป็นเว็บไซต์ก็จะไม่สามารถเปิดเข้าไปอ่านได้ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเว็บล่มนั่นเอง

การโจมตีด้วย "ดีดีโอเอส" แฮ็กเกอร์จะส่งโปรแกรมอันตรายไปยังคอมพิวเตอร์ทั่วโลก หากเครื่องใดรับโปรแกรมอันตรายเข้าไปก็จะเรียกว่า "ซอมบี้" ซึ่งเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ยังใช้งานได้ตามปกติ แต่เมื่อถึงกำหนดเวลาที่ตั้งไว้ แฮ็กเกอร์จะสั่งให้เครื่องซอมบี้จากทั่วโลกเข้าไปโจมตี หรือส่งข้อมูลมหาศาลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเป้าหมาย ในที่สุดเครือข่ายนั้นจะใช้การไม่ได้

อาจารย์ธงชัยอธิบายเพิ่มเติมว่า การโจมตีด้วยดีดีโอเอสแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ หากโจมตีด้วยเป้าประสงค์ทางการเมืองจะเรียกกันว่า "ไซเบอร์แอทแทค" (Cyber Attack) ส่วนใหญ่จะมีความขัดแย้งจนถือว่าเป็นศัตรูทางการเมืองกันมาก่อน แฮ็กเกอร์อาจทำคนเดียวหรือทำหลายคนก็ได้ เป้าหมายมักเป็นหน่วยงานความมั่นคงของรัฐ ส่วนประเภทที่ 2 เป็นการโจมตีเพื่อความบันเทิง หรือสคริปท์คิดดี้ (script kiddie) ส่วนใหญ่จะเป็นแฮ็กเกอร์วัยรุ่นทำเพื่อความท้าทายและความสนุก ไม่มีเป้าประสงค์ทางการเมือง

"การโจมตีเกาหลีใต้น่าจะมีเป้าหมายทางการเมือง เพราะไม่นานมานี้มีข่าวว่าเกาหลีเหนือฝึกแฮ็กเกอร์จำนวนมาก เชื่อว่าตอนนี้รัฐบาลเกาหลีใต้คงเร่งติดตามหาต้นตอกลุ่มที่ยิงดีดีโอเอสแล้ว เพราะเครือข่ายคงโดนทำลายไปเยอะ การปิดเว็บไซต์หน่วยงานความมั่นคงนาน 4 ชั่วโมง ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก การติดตามไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องใช้เวลาแกะไอเอสพี เบอร์โทรศัพท์ จนเห็นต้นตอว่ามาจากคอมพิวเตอร์เครื่องใดบนโลก ทุกวันนี้มีการยิงดีดีโอเอสไปที่เว็บไซต์ของรัฐบาลทั่วโลก แต่มักถูกปิดบังไม่เป็นข่าว เพราะจะทำให้รัฐบาลประเทศนั้นเสียชื่อเสียง" อาจารย์ธงชัยให้ความเห็น

เว็บไซต์ข่าว "เคเจซีที 8 นิวส์" (KJCT8NEWS) ของเกาหลีใต้เผยว่า เว็บไซต์สถาบันการเงินหลายแห่งโดนโจมตีด้วย เช่น ชินหาน แบงก์ (Shinhan Bank) โคเรีย เอ็กซ์เชนจ์ แบงก์ (Korea Exchange Bank) นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวว่ากระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ รัฐสภา พรรคการเมือง และหน่วยบัญชาการการฝึกทหารร่วมสหรัฐ-เกาหลีใต้ก็โดนโจมตีด้วยเช่นกัน

"ปริญญา หอมเอนก" ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาผู้เชี่ยวชาญระบบเครือข่ายและความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ เล่าว่า เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2546 หรือเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เกาหลีใต้เคยส่งไวรัสเอสคิวแอล สแลมเมอร์ (SQL Slammer) เข้าโจมตีระบบคอมพิวเตอร์และเน็ตเวิร์กทั่วประเทศ โดยใช้เวลาเพียง 30 นาที ไวรัสตัวนี้ได้เข้าทำลายระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานสำคัญ สร้างความเสียหายอย่างมากต่อระบบสารสนเทศของเกาหลีใต้ เช่น ประชาชนกดเงินจากตู้เอทีเอ็มไม่ได้ ความหวาดผวาแฮ็กเกอร์ครั้งนั้นทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้ จัดตั้งสำนักงานความปลอดภัยด้านข้อมูลเกาหลี หรือ เคไอเอสเอ (Korea Information Security Agency : KISA) ที่มีผู้เชี่ยวชาญหลายร้อยคนทำหน้าที่สร้างตรวจสอบช่องโหว่ในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ภาครัฐ

"การถูกยิงด้วยดีดีโอเอสป้องกันได้ยากมาก เพราะเป็นการส่งข้อมูลมาจากคอมพิวเตอร์ซอมบี้ทั่วโลก ขนาดเกาหลีใต้มีองค์กรและเครื่องมือเฉพาะไว้ป้องกันเรื่องนี้ ยังโดนโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ได้ ถือเป็นกรณีศึกษาว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ถ้าเปรียบเทียบกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลไทยแล้ว การป้องกันยังสู้ไม่ได้ ห่างกันหลายชั้น เรื่องที่เกิดขึ้นคงจะทำให้หน่วยงานรัฐ ให้ความสนใจป้องกันระบบคอมพิวเตอร์มากกว่านี้ เพราะแฮ็กเกอร์มีพัฒนาการเร็วมาก"

ล่าสุด หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ให้ข้อมูลว่า เครื่องที่ยิงดีดีโอเอสอาจถูกส่งมาจากเกาหลีเหนือ ด้านเจ้าหน้าที่บริษัท อันแล็บ อิงค์ ซึ่งทำธุรกิจดูแลความปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ ยอมรับว่า การโจมตีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตครั้งนี้ เป็นกรณีที่ร้ายแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ กลุ่มผู้ก่อการร้ายทางคอมพิวเตอร์ได้วางแผนเตรียมการมาอย่างดี เชื่อว่าเกาหลีเหนืออาจอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน