27 มกราคม 2552

เสี่ยวโจวเทียนคือความลับของชีวิต

เมื่อวันอังคารที่ 27 มกราคม ผมก็ไปเรียนเสี่ยวโจวเทียน ซึ่งเหล่าซือทบทวนเนื้อหาการฝึกขั้นที่ห้า มีเนื้อหา ข้อคิดที่ได้จากการเรียนดังนี้ครับ

1. การฝึกเสี่ยวโจวเทียนให้ผ่านขั้น 5 นั้นมีเคล็ดลับว่า "เงียบจนถึงที่สุด แล้วจึงเปลี่ยนแปลง" ซึ่งหมายความว่า การฝึกอะไรก็ตาม จะต้องฝึกฝนจนถึงที่สุด แล้วจึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เปรียบเหมือน การใช้แว่นขยายโฟกัสแสงให้เผาไหม้กระดาษ เราจะต้องใช้แว่นขยายส่องเป็นเวลานานพอสมควร จึงจะเกิดความร้อนเผาไหม้ได้ หลายคนที่ฝึกชี่กงไม่สำเร็จนั้น เพราะยังฝึกไม่ถึงที่สุด ก็เลิกล้มความพยายามเสียก่อน

2. เมื่อฝึกเสี่ยวโจวเทียนถึงขั้น 5 แล้ว ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ใบหน้าจะผ่องใส เกิดออร่าหรือราศีอย่างเห็นได้ชัด เสี่ยวโจวเทียนจัดว่าเป็นความลับของชีวิต เพราะการฝึกเสี่ยวโจวเทียนเป็นการกระตุ้นพลังแฝงที่อยู่ในร่างกายให้ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกขั้น 5 เป็นการกระตุ้นชี่ก่อนกำเนิด ซึ่งแพทย์ปัจจุบันยังไม่รู้จัก

3. เวลาในการฝึกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าเราฝึกช่วงเวลาไหนแล้ว รู้สึกว่าไม่มีความก้าวหน้า ก็ลองเปลี่ยนเวลาฝึก ในตำราเสี่ยวโจวเทียนแนะนำว่า ควรฝึกระหว่างห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง เหล่าซือบอกว่า เมื่อฝึกถึงเที่ยงคืนห้านาที จะเกิดยา (ขั้นที่ 5) ทุกครั้ง ก็เลยไปถามคุณแม่ของเหล่าซือ คุณแม่ของเหล่าซือบอกว่า เหล่าซือเกิดเวลาเที่ยงคืนห้านาที ดังนั้นเวลาเกิดจึงสัมพันธ์กับเวลาเกิดยา ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกมาก


ตอนที่ท่านเหลาจื๊อจะออกนอกด่านนั้น คนคุมด่านเห็นท่านเหลาจื๋อมีสง่าราศีผิดคนธรรมดาทั้งๆ ที่ตอนนั้นท่านมีอายุมากแล้ว ธรรมดาคนสูงอายุมากจะดูหม่นหมอง ซึ่งอาจเป็นเพราะอายุ หรือโรคภัยไข้เจ็บ แต่ท่านเหลาจื๊อกลับมีลักษณะที่โดดเด่นมาก คนคุมด่านจึงให้ท่านเหลาจื๊อเขียนหนังสือหนึ่งเล่มก่อน จึงอนุญาตให้ออกนอกด่านได้ เราจึงได้คัมภีร์ "เต๋าเต๊กเก๊ง" ตกทอดจนถึงทุกวันนี้

26 มกราคม 2552

แนะนำวิชา Hack Your Mind

ในเทอมปลายปีการศึกษา 2551 (เดือนพย. 2551 - เดือน มีนา 2552) นี้ผมได้เปิดวิชาใหม่ชื่อ Hack Your Mind หรือชื่อทางการคือ Mental Skills for Computer Engineer เพื่อเป็นวิชาเลือกแก่นิสิตภาควิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จุฬาฯ ปี 4

หลายคนคงสงสัยว่า วิชานี้เรียนเกี่ยวกับอะไร และเกี่ยวข้องอะไรกับคอมพิวเตอร์บ้าง ?

ที่มาของวิชานี้ก็คือ ผมได้เปิดวิชาเลือกชื่อ Innovative Thinking หรือการคิดเชิงนวัตกรรม ซึ่งเป็นวิชาที่สอนด้านเทคนิคความคิดสร้างสรรค์แก่นิสิตภาคคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายปีแล้ว นิสิตบางคนก็ถามว่ามีวิชาที่ต่อจากวิชา Innovative Thinking หรือไม่ ซึ่งตอนที่ผมสอนสองสามปีแรก ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะมีวิชาต่อได้อย่างไร เพราะแค่สอนเนื้อหาในเทอมเดียว กว่าจะหาเนื้อหาครบ ก็ยากเย็นอยู่แล้ว

แต่ในช่วงหลัง เริ่มมีเนื้อหาที่ผมคิดว่าน่าจะแบ่งเป็นอีกวิชาหนึ่งได้ เช่น ทักษะด้านการฝึกสมอง การฝึกสมาธิ จินตภาพ mind map การฝึกความจำ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์โดยตรง อีกทั้งมีหลายบริษัทที่บ่นว่านิสิตที่จบไปยังขาดทักษะด้านมนุษย์หรือ Soft skill กันเยอะ เช่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม เป็นต้น

ผมก็เลยได้แนวคิดว่า น่าจะเปิดเป็นวิชาใหม่ที่เรียนด้านการพัฒนาสมอง ทักษะด้านการนำเสนอ ทักษะด้าน soft skill ต่างๆ ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจว่า น่าจะลองเปิดเป็นวิชาใหม่ดู ผมก็เลยเริ่มเปิดเทอมปลายปี 2551 เป็นปีแรกครับ

พอเกิดแนวคิดนี้ปั๊บ ชื่อวิชาที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือ Hack Your Mind ทันที ทุกท่านคงรู้จักคำว่า hacker ซึ่งหมายถึงนักเจาะระบบคอมพิวเตอร์ แต่อันที่จริงคำว่า hack นั้นหมายถึงการปรับปรุงหรือการพัฒนาหรือการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาดก็ได้ นิสิตคอมพิวเตอร์ทุกคนรู้จักคำว่า hack หรือ hacker อย่างดีแล้ว ผมจึงเลือกคำนี้มาเพื่อให้ดูเข้ากับหลักสูตรของภาคคอมพิวเตอร์ แต่ผมจะเรียกเป็นชื่อเล่นครับ ชื่อที่เป็นทางการก็คือ Mental skills for computer engineer ซึ่งอาจแปลได้ว่า "ทักษะด้านจิตใจสำหรับวิศวกรคอมพิวเตอร์"

ในวันต่อไป ผมจะบอกรายละเอียดว่ามีเนื้อหาอะไรบ้าง วิธีการวัดผลเป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ วิทยากรรับเชิญในวิชานี้ ล้วนแล้วแต่ระดับสุดยอดทั้งสิ้น

21 มกราคม 2552

ประเดิม blog ครั้งแรก

หลังจากที่อ่าน blog ของนิสิต โดยบังคับให้ทำเป็นงานส่งประจำเทอมในวิชา Innovative Thinking และ Hack Your Mind แล้ว ในที่สุดผมก็คันมืออยากเขียน blog ของตัวเองบ้างแล้ว เพื่อเป็นบันทึกของตัวเองในด้านต่างๆ จะได้ทบทวนประสบการณ์ตัวเองและแบ่งให้คนอื่นอ่านด้วย

เริ่มต้นด้วยวันอังคารที่ 20 มกราคม 2552 อาจารย์ศุภวรรณ กรีน กลับประเทศอังกฤษ โดยเครื่องบินออกประมาณบ่ายโมงครึ่ง ผมก็ไปถึงคอนโดฯ ของอาจารย์ 9 โมงเช้า แต่กว่าจะออกจากคอนโดฯ ก็ 10 โมง โดยมีพี่เอก น้องทราย พี่แจง น้องจ๊อบ น้องจั๊ก และคุณพ่อพี่เอก รวมกันที่คอนโดฯ แล้วไปสุวรรณภูมิกัน ส่วนน้องปุ้มไปเจอกันที่สนามบินเลย

ตอนไป check-in พี่แจงชี้ให้เห็นคุณแม่ลิเดีย(นักร้องด้วย) น้องจ๊อบพูดเล่นว่า น่าจะไปขอลายเซ็นซะหน่อย จากนั้นพวกเราก็ไปทานอาหารเที่ยงกันที่ S&P แล้ว ผมสั่งข้าวกล้องงอกผัดกระเพาไก่ อร่อยจัง จะต้องหาข้างกล้องงอกมาทานที่บ้านบ้างซะแล้ว

เที่ยงครึ่งพวกเราก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันก่อนพี่ศุภวรรณจะเข้าไปข้างใน จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ ผมก็ติดรถพี่แจงมาลงที่ MRT แล้วก็กลับมาที่จุฬาฯ

ตอนเย็น ก็ไปเรียนหลักสูตรเสี่ยวโจวเทียน ภาษาไทยเรียกว่า วงโคจรสวรรค์น้อย หรือวงโคจรจักรวาลน้อย ภาษาอังกฤษเรียกว่า Small Universe หรือ Small Circulation กับอาจารย์หยาง เผย เซินที่ถนนทรัพย์ (โชคดีที่ใกล้จุฬาฯมาก ผมเดินไป 15 นาทีก็ถึง) ซึ่งถือว่าเป็นวิชาสุดยอดชี่กงและเป็นวิชาลับของลัทธิเต๋า เหล่าซือหรืออาจารย์ของผมได้รับการถ่ายทอดจากสำนักของคิวชู่กี (ถ้าใครอ่านมังกรหยก คงรู้จัก สำนักช้วนจินมีตัวตนจริงๆ ครับ กิมย้งเอาตัวบุคคลที่มีตัวตนจริงมาใส่ในเรื่อง ขนาดอิ่มจี้เพ้ง ที่ปล้ำเซียวเล้งนึ้งในมังกรหยกภาค 2 ยังมีตัวตนจริงเลย ใครที่สนใจ แนะนำให้อ่านหนังสือชื่อ "สกัดจุดยุทธจักรมังกรหยก" ครับ )

เสี่ยวโจวเทียนเป็นวิชานั่งสมาธิแบบเต๋าอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการเดินลมปราณผ่านเส้นประสาทต๊ก(ข้างหลัง)และหยิม(ข้างหน้า)ปลอดโปร่ง ปกติวิชาชี่กงธรรมดาจะทำให้แก่ช้า สุขภาพแข็งแรงเท่านั้น ส่วนเสี่ยวโจวเทียนเป็นวิชาเดียวที่ถ้าฝึกผ่านขั้น 5 ได้แล้ว จะสามารถย้อนอายุ (Reverse Aging) ได้ และถ้ายิ่งฝึกระดับสูงเรื่อย ๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ ดังนั้นจัดเป็นวิชาสมถะหรืออภิญญาอย่างหนึ่ง

ตอนนี้วงการแพทย์กำลังตื่นเต้นกับ Stem Cell มีน้องคนหนึ่งที่เรียนเสี่ยวโจวเทียนและทำวิจัยด้านนี้บอกว่า เสี่ยวโจวเทียนเป็นการกระตุ้น stem cell อย่างหนึ่งด้วย ที่อินเดียมีวิชากุณฑาลินี โยคะ (Kundalini Yoga) ซึ่งเปรียบเทียบว่าร่างกายมนุษย์มีพลังงานแฝงเร้นเหมือนงูขดตัวอยู่ที่ข้างหลัง การฝึกกุณฑาลินี โยคะเป็นการปลุกพลังงานนี้ให้ตื่นขึ้นมา จะเห็นว่าหลักการคล้ายคลึงกับเสี่ยวโจวเทียนมากครับ

วันนี้เหล่าซือได้ถ่ายทอดเคล็ดลับบางอย่าง ซึ่งคงไม่สามารถเขียนลงในหนังสือได้แน่ๆ เหล่าซือบอกว่าพวกเราโชคดีหรือมีบุญมากที่ได้เรียนวิชานี้ คนจีนถือว่า การที่จะได้เรียนวิชาชั้นสูงนั้น จะต้องประกอบด้วยปัจจัยสี่อย่างพร้อมกัน

1. มีอาจารย์สอน สำคัญที่สุด
2. มีวิธีการที่ถูกต้อง
3. มีเงิน (หลักสูตรเสี่ยวโจวเทียนนี้ ค่าเรียนแค่ 5 หมื่นบาทเอง) ดังนั้นใครที่ไม่มีเงิน คงเรียนไม่ได้แน่ คนจีนถือว่าการมีเงินจัดว่าเป็นบุญอย่างหนึ่ง
4. มีเวลาและพร้อมฝึก หลายคนมีเงินมาก 5 หมื่นบาทถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก แต่ไม่มีเวลาในการฝึก ก็ยังถือว่าไม่พร้อม



ฟังแล้ว รู้สึกว่าโชคดีจังที่ได้มีโอกาสเรียนวิชาลึกซึ้งนี้ ตอนนี้พยายามนั่งสมาธิวันละ 2 ชั่วโมง ตอนเช้ากับก่อนนอนครั้งละ 1 ชั่วโมง เพราะเรียนมา 2 ครั้งแล้ว ยังไม่ผ่านเลย อย่างน้อยก็ต้องฝึกวันละ 1 ชั่วโมง เพราะเหล่าซือบอกว่าต้องขยันฝึกจึงจะผ่าน

วิชาเสี่ยวโจวเทียนแบ่งออกเป็นหลายระดับ ตอนนี้เหล่าซือสอนถึงขั้นห้า ซึ่งมหัศจรรย์พันลึกมาก และมีลูกศิษย์หลายคนฝึกผ่านแล้วด้วย มีพี่คนหนึ่งอายุ 60 กว่าก็ฝึกขั้นห้าได้สำเร็จ แต่ใครที่ฝึกผ่านขั้นสามได้ ก็คุ้มห้าหมื่นบาทแล้ว เพราะถ้าฝึกขั้นสามผ่าน เวลาชี่ผ่านบริเวณไตข้างหลัง จะรู้สึกร้อนบริเวณไตมาก ทำให้ไตแข็งแรง เพราะเป็นการเพิ่มพลังหยางให้แก่ไต ใครที่ไตอ่อนแอ เช่น ปัสสาวะบ่อย เวียนหัวง่าย เมื่อฝึกผ่านขั้นสามแล้ว ไตจะทำงานแข็งแรงดีขึ้น แต่ถ้าไม่ฝึก ต่อให้มีเงินสิบล้าน ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องฝึกฝนเอาเองครับ

ครั้งแรกกำลังภายในของเราไม่ถึงขั้น เลยฝึกไม่สำเร็จ ยังไม่ผ่านขั้นที่สาม เรียนครั้งที่สองต้นปีที่แล้ว ก็ยุ่งกับงานแต่งงาน ก็ฝึกไม่สำเร็จอีก ครั้งนี้ตั้งใจมุ่งมั่นเต็มที่ ตอนนี้ผ่านขั้นสามแล้ว หวังว่าคงจะฝึกขั้นสี่ได้สำเร็จสมบูรณ์เร็วๆ นี้